กุสินาราสูตร
ว่าด้วยภิกษุผู้ประสงค์จะโจทย์ผู้อื่นพึงพิจารณาธรรม
๕ ประการในตน
สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไพรสณฑ์เป็นที่นำไปทำพลีกรรม ใกล้กรุงกุสินารา ณ
ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้เป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาธรรม ๕ ประการในตน
พึงเข้าไปตั้งธรรม ๕ ประการไว้ในตน แล้วจึงโจทก์ผู้อื่น ธรรม ๕
ประการอันภิกษุพึงพิจารณาในตนเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้เป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาอย่างนี้ว่า
เราเป็นผู้มีกายสมาจารอันบริสุทธิ์
เราเป็นผู้ประกอบด้วยกายสมาจารอันบริสุทธิ์ ไม่ขาด ไม่บกพร่องหรือหนอ
ธรรมนี้มีพร้อมอยู่แก่เราหรือไม่หนอ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
หากว่าภิกษุมิได้เป็นผู้มีกายสมาจารอันบริสุทธิ์
มิได้เป็นผู้ประกอบด้วยกายสมาจารอันบริสุทธิ์ ไม่ขาด ไม่บกพร่องไซร้ จะมีว่าผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้นว่า
เชิญท่านจงศึกษาความประพฤติทางกายเสียก่อนเถิดจะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้น ดังนี้.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาอย่างนี้ว่า
เราเป็นผู้มีวจีสมาจารบริสุทธิ์ เราเป็นผู้ประกอบด้วยวจีสมาจารอันบริสุทธิ์ ไม่ขาด
ไม่บกพร่องหรือหนอ ธรรมนี้มีพร้อมอยู่แก่เราหรือไม่หนอ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
หากว่าภิกษุมิได้เป็นผู้มีวจีสมาจารบริสุทธิ์
มิได้ประกอบด้วยวจีสมาจารอันบริสุทธิ์ ไม่ขาด ไม่บกพร่องไซร้
จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้นว่า เชิญท่านจงศึกษาความประพฤติทางวาจาเสียก่อนเถิด
จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้น ดังนี้.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาอย่างนี้ว่า
เราเข้าไปตั้งเมตตาจิตไม่อาฆาตไว้ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายแล้วหรือหนอ
ธรรมนี้มีพร้อมอยู่แก่เราหรือไม่หนอ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
หากว่าภิกษุไม่เข้าไปตั้งเมตตาจิต ไม่อาฆาตไว้ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายไซร้
จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้นว่า
เชิญท่านจงเข้าไปตั้งเมตตาจิตไว้ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเสียก่อนเถิด
จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้น ดังนี้.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นโจทประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาอย่างนี้ว่า เราเป็นพหูสูต
ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามากทรงไว้คล่องปาก ขึ้นใจ
แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิซึ่งธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงหรือหนอ
ธรรมนี้มีพร้อมอยู่แก่เราหรือไม่หนอ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
หากภิกษุไม่เป็นพหูสูต ทรงสุตะสั่งสมสุตะ ไม่เป็นผู้ได้สดับมามาก ทรงไว้คล่องปาก
ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฐิซึ่งธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
งามในที่สุดประกาศพรหมจรรย์
พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงไซร้ จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้นว่า
เชิญท่านจงเล่าเรียนคัมภีร์เสียก่อนเถิด จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้น ดังนี้
อีกประการหนึ่ง
ภิกษุผู้เป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาอย่างนี้ว่า เราจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีแล้ว
จำแนกดีแล้ว ให้เป็นไปดีแล้วโดยพิสดาร วินิจฉัยดีแล้วโดยสูตรโดยอนุพยัญชนะหรือหนอ
ธรรมนี้มีพร้อมอยู่แก่เราหรือไม่หนอ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
หากว่าภิกษุเป็นผู้ไม่จำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีแล้ว มิได้จำแนกดีแล้ว
มิได้ให้เป็นไปดีแล้วโดยพิสดาร มิได้วินิจฉัยด้วยดีโดยสูตรโดยอนุพยัญชนะ
ภิกษุนั้นถูกถามว่า ท่านผู้มีอายุ สิกขาบทนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้วในที่ไหน
ดังนี้แก้ไม่ได้ จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้นว่า เชิญท่านศึกษาวินัยเสียก่อนเถิด
จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้น ดังนี้ ธรรม ๕ ประการนี้
อันภิกษุผู้เป็นโจทก์พึงพิจารณาในตน.
ธรรม ๕ ประการ อันภิกษุผู้เป็นโจทก์พึงให้เข้าไปตั้งไว้ในตนเป็นไฉน คือ
จักกล่าวโดยกาลอันควร
จักไม่กล่าวโดยกาลอันไม่ควร ๑
จักกล่าวด้วยคำจริง
จักไม่กล่าวด้วยคำไม่จริง ๑
จักกล่าวด้วยคำอ่อนหวาน
จักไม่กล่าวด้วยคำหยาบ ๑
จักกล่าวด้วยคำอันประกอบด้วยประโยชน์
จักไม่กล่าวด้วยคำอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
จักมีเมตตาจิตกล่าว จักไม่เพ่งโทษกล่าว
๑
ธรรม ๕ ประการนี้ อันภิกษุผู้เป็นโจทก์พึงเข้าไปตั้งไว้ในตน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้เป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาธรรม ๕ ประการนี้ในตน
พึงเข้าไปตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ในตน แล้วจึงโจทผู้อื่น.
อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต
ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่ม ๓๘ หน้า ๑๔๓ ข้อ ๔๔